กสิกรไทยมองสัปดาห์หน้าระหว่าง 27-30ธ.ค.2564 กรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 33.00-33.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ บล.กสิกรไทยคาด ดัชนีหุ้นไทยแนวรับที่ 1,620 และ 1,600 จุด แนวต้านอยู่ที่ 1,645 และ 1,655 จุด ตามลำดับ
ad
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมิน 4ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามระหว่างวันที่ 27-30ธ.ค.2564 “ สถานการณ์โควิด-19 ทั้งในและต่างประเทศ -ทิศทางเงินลงทุนซื้อหวยออนไลน์ถูกกฎหมายมั่นใจได้ของนักลงทุนต่างชาติ -การทำ Window Dressing ช่วงปลายปี -ข้อมูลเศรษฐกิจต่างประเทศ ทั้ง “สหรัฐ จีน ญี่ปุ่น”

ธนาคารกสิกรไทยมองสัปดาห์หน้าระหว่าง 27-30ธ.ค.2564 กรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 33.00-33.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่

รายงานเศรษฐกิจการเงินเดือนพ.ย. ของไทย ทิศทางเงินทุนของต่างชาติ และสถานการณ์โควิด-19 ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาบ้านเดือนต.ค. ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขายเดือนพ.ย. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์

นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามตัวเลขกำไรภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย. และดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการเดือนธ.ค.ของจีน โดยเมื่อ ในวันศุกร์ (24 ธ.ค.) เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 33.42 เทียบกับระดับ 33.35 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (17 ธ.ค.)

สำหรับบริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด(บล.) มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,620 และ 1,600 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,645 และ 1,655 จุด ตามลำดับ

 

โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์โควิด-19 ทั้งในและต่างประเทศ ทิศทางเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ และการทำ Window Dressing ช่วงปลายปี ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ

 

ได้แก่ ดัชนีราคาบ้านเดือนต.ค. ยอดการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขายเดือนพ.ย. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ กำไรของบริษัทอุตสาหกรรมเดือนพ.ย. และดัชนี PMI เดือนธ.ค.ของจีน ตลอดจนยอดค้าปลีกเดือนพ.ย.ของญี่ปุ่นก่อน โดยดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,637.22 จุด ลดลง 0.27% จากสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 67,481.17 ล้านบาท ลดลง 13.32% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 0.01% มาปิดที่ 570.24 จุด

 

อนึ่ง Window Dressing เป็นความเชื่อหนึ่งในทางการเงินที่บอกว่า ในช่วงก่อนปิดงบการเงิน เช่น ทุกสิ้นไตรมาสหรือสิ้นปีนั้น นักลงทุนสถาบันหรือกองทุนรวมอาจจะใช้กลยุทธ์การทำหรือไม่ทำอะไรบางอย่าง เพื่อทำให้ตัวเลขผลการดำเนินงานออกมาดูดี หรือทำให้สัดส่วนการลงทุนเป็นไปตามที่ประกาศไว้ในนโยบายกองทุน หรือให้นักลงทุนรู้สึกดี