สมาคมนักวิเคราะห์ ( IAA )เปิดผลสำรวจนักวิเคราะห์ – กองทุน จัด 5 หุ้นเด่นปีเสือ ADVANC CPALL EA KBANK SCB คาดดัชนี SET สิ้นปี 65 แตะ 1760 แนะรัฐกระตุ้นภาคการบริโภค เพิ่มมาตรการลดหย่อนภาษี

5 ม.ค.65 นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ( IAA ) เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน รวม 25 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนในปี 2565 สรุปได้ดังนี้

นักวิเคราะห์เพิ่มสมมติฐานหลัก ด้านการขยายตัวของจีดีพีไทยปี 2565 จะเติบโตที่ 3.71% จากการสำรวจเมื่อ 3 เดือนก่อน ที่ 3.67% ขณะที่เพิ่มสมมุติฐานดูหนังฟรีออนไลน์ 2022 ด้านราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นเป็น 69.90 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่ในครั้งก่อนใช้ตัวเลข 68.54 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล

ทิศทางการลงทุนในปี 2565 นี้ จะได้ผลบวกที่ชัดเจนมาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่จะดีขึ้น โดยมีผู้โหวตถึง 92% และภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย มีผู้โหวต 84% ตามมาด้วย แนวโน้มความคืบหน้าของการฉีดวัคซีนและโควิดในไทย มีผู้โหวต 80%

ส่วนปัจจัยด้านลบ มาจาก แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของFED มีผู้โหวตมากถึง 84% รองลงมาคือ การเตรียมลดมาตรการ QEทั่วโลก มีผู้โหวต 72% และ ตามติดมาด้วย แนวโน้มสถานการณ์โควิดของโลกที่สูงขึ้นอีกครั้ง มีผู้โหวต 68%

ทางด้าน อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ความเห็นส่วนใหญ่ 79% มองว่าน่าจะไม่เปลี่ยนแปลงตลอดปีนี้

ส่วนทางด้านผลกำไรต่อหุ้น ( EPS ) ของบริษัทจดทะเบียนปี 2565 เฉลี่ยที่ 89.59 บาทต่อหุ้น เป็นการเติบโต 11.82%จากปี 2564 อย่างไรก็ตามตัวเลขคาดการณ์ใหม่นี้ ต่ำกว่าการสำรวจครั้งก่อนซึ่งอยู่ที่ 92.49 บาทต่อหุ้น

 

ทางด้าน คาดการณ์ SET Index ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 ถูกคาดการณ์ว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากสิ้นปี 2564 มากนัก โดยจะปิด สิ้นไตรมาสแรกที่ 1665 จุด และเมื่อมองตลอดปี จะแกว่งตัวในกรอบ 1546 ถึง 1782 จุด และคาดการณ์ว่าสิ้นปี 2565 จะปิดที่ 1760 จุด

นักวิเคราะห์แนะนำให้กระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น

 

เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 10.22%
กองทุนตราสารหนี้ 16.96%
หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 29.87%
หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 28.96%
กองทุนอสังหาฯหรือ REIT 8.09%
ทองคำหรือกองทุนทองคำ 5.35%
อื่นๆ 0.57%

สำหรับในส่วนของการลงทุนหุ้นไทยนั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุน ในหมวดธุรกิจ ค้าปลีก ธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ และสื่อสาร

 

ในขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดธุรกิจการเกษตรปิโตรเคมี การแพทย์และการท่องเที่ยว

ส่วนรายชื่อหุ้นเด่นที่แนะนำ ( มีจำนวนสำนักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 4 สำนักขึ้นไป ) คือ

ADVANC : แนวโน้มเติบโตตามกระแสความต้องการใช้เทคโนโลยีและได้รับประโยชน์จากรัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่ค่าใช้จ่าย ลงทุนและการแข่งขันมีโอกาสลดลงหลังการควบรวมกิจการ DTAC-TRUE ( โบรกให้ราคาเป้าหมายสูงสุด /ต่ำสุด /ราคาเฉลี่ยที่ : 260 บาท / 220 บาท / 242 บาท ตามลำดับ )

CPALL : ปัจจัยสนับสนุนจาก 7-Eleven มากกว่า 80-90% สามารถเปิดได้ 24 ชั่วโมงได้ตามปกติ นอกจากนี้ Gross Profit Margin น่าจะเพิ่มสูงขึ้นเช่นกันจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมรับประทาน ซึ่งมีมาร์จินสูง ( โบรกให้ราคาเป้าหมายสูงสุด /ต่ำสุด /ราคาเฉลี่ยที่ : 79 บาท / 69 บาท / 72.50 บาท ตามลำดับ )

EA : ปัจจัยสนับสนุนจาก Green Energy และ EV theme ( โบรกให้ราคาเป้าหมายสูงสุด /ต่ำสุด /ราคาเฉลี่ยที่ : 122 บาท / 51.50 บาท / 81.08 บาท ตามลำดับ )

KBANK : ได้รับปัจจัยสนับสนุนเพิ่มจากเศรษฐกิจฟื้นตัวและอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ( โบรกให้ราคาเป้าหมายสูงสุด /ต่ำสุด /ราคาเฉลี่ยที่ : 180 บาท / 151 บาท / 169.50 บาท ตามลำดับ )

SCB : เติบโตตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการปรับโครงสร้างธุรกิจทำให้มีความคล่องตัวมากขึ้น ( โบรกให้ราคาเป้าหมายสูงสุด /ต่ำสุด /ราคาเฉลี่ยที่ : 165 บาท / 140 บาท / 151.20 บาท ตามลำดับ )

ส่วนหุ้นที่แนะนำให้หลีกเลี่ยง คือ ธุรกิจโรงแรมและสายการบิน รวมถึงหุ้นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ บางบริษัทที่เคยวิ่งขึ้นกว่า 1,000% ในข่วงปี 2563-2564 เนื่องจากปัจจุบันแม้ราคาลงมาบ้าง แต่ยังคงเกินมูลค่าปัจจัยพื้นฐาน

 

ท้ายที่สุด นักวิเคราะห์ยังได้เพิ่มเติมการแนะนำนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจไปยังรัฐบาล ได้แก่ การเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ วางแผนโครงสร้างเทคโนโลยีการผลิตระยะยาว รวมถึงโครงข่ายสื่อสารและขนส่ง

 

นอกจากนั้นยังแนะนำให้ช่วยเหลือประชาชน โดยเร่งการฉีดวัคซีนเข็ม 3 รวมถึงมาตรการให้สิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษี เพื่อกระตุ้นภาคการบริโภค ส่วนด้านภาคธุรกิจนั้น ควรใช้นโยบายสนับสนุนสินเชื่อภาคธุรกิจเพิ่มเติม