“กัญชา-กัญชง” เป็นพืชเศรษฐกิจชนิดใหม่ที่กำลังมาแรงมากๆ หลังเริ่มมีการปลดล็อกให้นำมาใช้ประโยชน์ ทำให้ตลาดตอนนี้ตื่นตัวสุดๆ ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ

โดยปัจจุบันมีหลายบริษัทที่ได้รับไฟเขียวให้นำเข้าเมล็ดพันธุ์มาเพาะปลูก เพื่อทำเป็นสารสกัด และนำไปเป็นส่วนผสมหลักในการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ ที่เริ่มได้เห็นกันแล้ว มีทั้งเครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยว เครื่องสำอาง อาหารเสริม สบู่ ยาสระผม ครีมบำรุงผิว ฯลฯ

บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP ในฐานะเจ้าตลาดขนบขบเคี้ยวของไทย ไม่ขอตกเทรนด์ กระโดดเข้าสู่ธุรกิจสายเขียวด้วยเช่นกัน เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ชื่นชอบอะไรแปลกใหม่

โดยล่าสุดได้เปิดตัว “ขนมรูปน่องไก่ ผสมใบกัญชา รสบาร์บีคิว” ภายใต้แบรนด์โลตัส ซึ่งนอกจากจะเป็นสินค้าสายเขียวตัวแรกของบริษัทแล้ว ยังเป็นขนมขบเคี้ยวที่มีส่วนผสมของใบกัญชารายแรกของประเทศอีกด้วย โดยจะเริ่มวางขายในห้างโมเดิร์นเทรดและร้านสะดวกซื้อช่วงปลายเดือนธ.ค. นี้ ราคาซองละ 30 บาท

เรียกว่า SNNP มาขอชิงพื้นที่ก่อนเจ้าอื่นๆ อาศัยจุดแข็งจากแบรนด์ที่แข็งแกร่ง เพราะขนมขาไก่โลตัสเป็นที่รู้จักกันดีในกลุ่มผู้บริโภคอยู่แล้ว มีมาร์เก็ตแชร์อันดับ 1 ในกลุ่มขนมขาไก่ รวมทั้งการมีช่องทางจัดจำหน่ายที่หลากหลายครอบคลุมทั่วประเทศ น่าจะทำให้เข้าถึงผู้บริโภคและได้กระแสตอบรับที่ดี

SNNP เปิดตัวขนมผสมใบกัญชา โบรกฯ มองดันกำไรปี 65 เพิ่มขึ้นเกือบ 100 ล้าน

ส่วนปี 2565 บริษัทมีแผนเปิดตัวสินค้าที่มีส่วนผสมจากกัญชากัญชงแนวทางหวยฮานอยวันนี้อีกไม่น้อยกว่า 5 ผลิตภัณฑ์ โดยประเดิมตั้งแต่ต้นปีเดือนม.ค. ด้วย ขนมรูปน่องไก่โลตัส ผสมเมล็ดกัญชง รสสาหร่าย และในเดือนก.พ. จะเปิดตัวอีก 3 ผลิตภัณฑ์ มีเยลลี่ Jele Party ผสมน้ำกัญชา, Jele Vitamin ผสมสารสกัด CBD และปลาหมึกอบ Bento ผสมใบกัญชา

เห็นแบบนี้แล้วต้องบอกว่า SNNP เอาจริงกับธุรกิจสายเขียว ถือเป็นอีกหนึ่งฐานรายได้ใหม่ให้กับบริษัท ซึ่งดูแล้วน่าจะไปได้สวยตามเทรนด์โลก เชื่อว่าหลังเริ่มนำร่องวางขายในประเทศแล้ว น่าจะส่งออกไปขายในต่างประเทศด้วยเช่นกัน

นอกจากสตอรี่สายเขียว ยังมีอีกหนึ่งสตอรี่ที่น่าสนใจ หลัง SNNP ได้มีการจับมือกับ 2 พันธมิตรบิ๊กเนมระดับโลก “เนสท์เล่” และร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven เปิดตัว “เยลลี่พร้อมดื่มเจเล่ผสมชาเนสที” หรือ Jele x NESTEA มาพร้อมกันถึง 2 รสชาติ คือ ชามะนาวและทับทิม ราคาซองละ 10 บาท วางขายเฉพาะในร้าน 7-Eleven เท่านั้น

ถือเป็นอีกหนึ่งความร่วมมือครั้งสำคัญที่ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ เพราะ “เนสท์เล่” เป็นแบรนด์ดังระดับโลก การที่จะเลือกใครเข้ามาเป็นพันธมิตรต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ซึ่งการมาแมชชิ่งกันครั้งนี้ดูเหมาะสม ถูกคู่ ถูกเวลา อาศัยจุดแข็งในฐานะผู้นำในกลุ่มผลิตภัณฑ์เยลลี่ของเจเล่ และผู้นำในกลุ่มชามะนาวของเนสที มามัดใจลูกค้า

ปัจจุบันตลาดในประเทศถือเป็นฐานรายได้หลักของบริษัท ขณะที่ตลาดต่างประเทศเป็นอีกขุมทรัพย์สำคัญ ซึ่งยอดขายหลักจากต่างประเทศมาจากกลุ่ม CLMV โดยปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างก่อสร้างโรงงานที่ประเทศเวียดนาม ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเดินสายการผลิตได้ในช่วงครึ่งหลังปี 2565 มีจุดเด่นจากต้นทุนวัตถุดิบที่ถูกกว่าประเทศไทย

โดยบล.เคทีบีเอสที ระบุว่า ประเมินรายได้จากผลิตภัณฑ์ผสมกัญชงและกัญชาของบริษัทในปี 2565 แบบ conservative ที่ 420 ล้านบาท และกำไรสุทธิที่ 79 ล้านบาท อิงอัตรากำไรขั้นต้นที่ 35% ถือเป็นอัพไซด์ต่อประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 ที่ +17% และเป็นอัพไซด์ต่อราคาเป้าหมาย +2.60 บาทต่อหุ้น

แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 15.50 บาท อิง 25 PER ปี 2565 ที่ 31.7 เท่า ฝ่ายวิจัยชอบ SNNP จาก 5 ปัจจัยหลัก ดังนี้ 1. ความเป็นผู้นำในตลาดขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่มในอาเซียน จาก brand portfolio ที่หลากหลายตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ทุกกลุ่ม 2. มี Complete Value Chain ทำให้มี business flexibility การมี distributor ทั้งในและต่างประเทศเป็นของตัวเอง จึงทำให้มี strategic alliance กับ distributors เหล่านั้น

3. มีโรงงานที่ต่างประเทศ ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง 4. Valuation ไม่แพงปัจจุบันเทรดอยู่ที่ PER ปี 2565 ที่ 23 เท่า เมื่อเทียบกับการเติบโตของกำไรปกติปี 2563-2566 ที่เติบโตสูงถึง CAGR 87% และ 5. กำไรมี Upside จากผลิตภัณฑ์ผสมกัญชง-กัญชาและดีล M&A